หมวกกันน็อคมีกี่ประเภท

‍

1. หมวกกันน็อคแบบเต็มใบ (Full face) เป็นหมวกกันน็อคที่ปลอดภัยและช่วยป้องกันได้ดีที่สุด สามารถป้องกันได้ทั้งศีรษะ ตั้งแต่ท้ายทอยไปถึงปลายคาง สามารถใช้กับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้
2. หมวกกันน็อคแบบยกคาง (Modula) คล้ายกับหมวกกันน็อคแบบเต็มใบ เพียงแต่สามารถพับส่วนคางขึ้นมาได้ แต่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก
3. หมวกกันน็อคแบบเปิดหน้า (Open face) เป็นที่นิยมมากที่สุด สวมใส่ได้ง่าย คล้ายกับหมวกกันน็อคแบบครึ่งใบ แต่มีกระจกบังลม เหมาะกับการขับขี่ในเมืองที่ต้องเจอฝุ่นควัน แต่ไม่สามารถป้องกันส่วนคางได้
4. หมวกกันน็อคแบบครึ่งใบ (Half face) สามารถพบได้โดยทั่วไป หาซื้อง่าย สวมใส่ง่าย แต่มีการป้องกันการกระแทกได้น้อย ไม่เหมาะกับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง หรือขับระยะไกล เพราะไม่มีกระจกป้องกันลม
5. หมวกกันน็อคแบบวิบาก (Off-road) เหมาะกับการขับขี่แบบออฟโร้ด โดยหมวกกันน็อคชนิดนี้จะมีบริเวณคางยื่นออกไปมากกว่าแบบอื่น แต่ไม่มีกระจกบังลมมาให้
6. หมวกกันน็อคแบบกึ่งวิบาก (Dual-sport) คล้ายกับหมวกกันน็อคแบบวิบาก แต่มีกระจกบังลมมาให้ นิยมใช้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่ขับขี่ในระยะทางไกล

‍

ข้อแนะนำในการเลือกหมวกกันน็อค

การเลือกหมวกกันน็อคนั้นจะต้องเลือกซื้อที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ ไม่ใช่เพียงเพราะรูปทรงที่ทันสมัยหรือความสวยงาม แต่จะต้องเป็นหมวกกันน็อคที่มีคุณภาพ สามารถปกป้องคุณจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันบนท้องถนนได้ อีกทั้งยังต้องถูกกฎหมาย และช่วยให้คุณไม่ต้องเสียค่าปรับอีกด้วย

โดยคุณควรเลือกซื้อหมวกกันน็อคที่ได้มาตรฐาน ที่ทั้งปลอดภัยและถูกกฎหมาย โดยจะต้องมีเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) และเป็นรูปแบบที่กฏหมายกำหนด เพื่อให้ความมั่นใจว่าเป็นหมวกกันน็อคที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน โดยคุณสามารถเลือกใช้หมวกกันน็อคได้ทั้งสามประเภท ไม่ว่าจะเป็น หมวกกันน็อคครึ่งใบ, หมวกกันน็อคเต็มปิดหน้า, หรือหมวกกันน็อคเต็มใบแบบเปิดคาง แต่ตัวบังลมจะต้องไม่มีสี โปร่งใส และแสงลอดผ่านได้ น้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม มีรูระบายอากาศ และมีช่องฟังเสียง

มากไปกว่านั้นคุณควรพิจารณาขนาดที่พอดีกับศีรษะ และความกระชับของหมวกกันน็อคหรือสายรัดใต้คาง โดยทั่วไปแล้วหมวกกันน็อคจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี แตกต่างไปตามวัสดุที่ใช้ผลิต หากเป็นพลาสติกจะเกิดการเสื่อมสภาพ และไม่สามารถรับแรงกระแทกได้ ซึ่งหมวกกันน็อคที่มีการตกหรือกระแทกจะมีอายุการใช้งานที่น้อยลงอีกด้วย

‍